เทศน์บนศาลา

พระกรรมฐาน

๑o ส.ค. ๒๕๔๗

 

พระกรรมฐาน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๘
ณ วัดป่าสมสงัด อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

 

ฟังธรรม ธรรมจะเกิดได้เกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระกรรมฐานองค์แรก เป็นองค์แรกที่เข้าถึงธรรม ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไม่ถึงธรรมจะไม่ตรัสกับปัญจวัคคีย์ว่า “เราเป็นพระอรหันต์” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับปัญจวัคคีย์ เวลาไปหาพระปัญจวัคคีย์เพื่อจะแสดงธรรม พระปัญจวัคคีย์กระด้างกระเดื่อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับปัญจวัคคีย์ว่า “เธอได้ยินคำนี้ไหม”

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นสุภาพบุรุษมาก ไม่โกหกตัวเอง และไม่โกหกใครทั้งสิ้น ถ้าใจของตัวเองยังมีกิเลสอยู่ ยังมีความทุกข์ ยังมีความต้องการอยู่ในหัวใจก็จะบอกว่า “ยังไม่ถึงสิ้นกิเลส” แต่เวลากิเลสสิ้นออกไปจากใจ ปฏิญาณตนบอกกับพระปัญจวัคคีย์ว่า “เธอได้ยินคำนี้ไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์” อยู่กันมา ๖ ปีไม่เคยมีคำพูดว่าเป็นพระอรหันต์เลย เพราะหัวใจมันมีสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจ

สิ่งที่มีอยู่ในหัวใจมันเผาลนในใจ ถึงจะมี ถึงจะทำสมาธิได้ ถึงจะทำความสงบขนาดไหนมันก็มีความรู้สึกในหัวใจ มันเศร้าหมอง มันผ่องใส มันมีความรู้สึกในใจ นี้คือกิเลสในหัวใจ แต่เมื่อทำลายกิเลสภายในหัวใจทั้งหมด พระกรรมฐานองค์แรกคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำลายกิเลสในหัวใจ ฐานของใจสะอาดบริสุทธิ์ไง ทำถึงฐานนะ พระกรรมฐานคือฐานของใจ ใจนี้ต่างหากเป็นพระกรรมฐาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากับพระธรรม สิ่งที่เป็นธรรม ฐานอันนี้สำคัญมาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมมา จนพระอัญญาโกณฑัญญะนี้มีความรู้ธรรมเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงทำให้เราเกิดมาพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเรามีโอกาสได้บวช แล้วเรามีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราเป็นสมมุติสงฆ์ พระกรรมฐานมีโอกาสมากเพราะบวชต่อเมื่อศาสนาเจริญรุ่งเรือง

องค์หลวงปู่มั่นพยายามค้นคว้าหาสิ่งนี้อยู่ ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกก็มีอยู่ แต่ไม่มีใครคนชี้นำไง องค์หลวงปู่มั่นพยายามแสวงหา พยายามค้นคว้านะ ค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมา แล้ววางเป็นแบบเป็นอย่างเป็นบรรทัดฐานให้เราก้าวเดินตาม จนปัจจุบันนี้มีแบบมีอย่างมีบรรทัดฐาน แล้วมีสิ่งที่เป็นสัปปายะ เราถึงว่าเราเป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่ง ถ้าเราเป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่ง เราต้องพยายามสร้างสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของพระกรรมฐาน

คุณสมบัติของพระกรรมฐานคือการค้นคว้าหาตัวเองให้เจอ ทำความสงบของใจให้ได้ แล้วพยายามค้นคว้านะ ทำความสงบของใจ แล้วถ้าใจนี้สงบขึ้นมาแล้วต้องมีสติ ถ้าทำความสงบของใจโดยที่เขาปฏิบัติกัน เขาเป็นพระเป็นเจ้าเหมือนกัน เขาปฏิบัติกัน เขาพยายามดูจิตของเขา พอจิตของเขาสงบเข้ามา นี่สงบเข้ามาเหมือนกัน แต่ไม่ถึงฐาน ไม่มีสติ

เวลาดูความเป็นไปของการเคลื่อนไหวของใจ ดูนาม ดูรูป ดูสิ่งต่างๆ สิ่งที่เป็นนามรูปเป็นอาการของใจ เวลาใจมันปล่อย ปล่อยสิ่งนั้น ปล่อยอาการของใจ ปล่อยแขกที่จรมาไง ปล่อยวัตถุอันหนึ่ง ปล่อยอาการของใจที่มันเกาะเกี่ยว แล้วใจมีสติไหม? ถ้าใจไม่มีสติ

“พระกรรมฐาน” ถึงว่าเรามีพระกรรมฐาน เราตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์เรา องค์หลวงปู่มั่นบอกให้กำหนดพุทโธ พุทโธ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “พุทธานุสติ” ถ้าเราตั้งพุทธานุสติขึ้นมาที่ใจ ที่ปลายจมูกก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แล้วกำหนดพุทโธ พุทโธ ไปตลอด สิ่งนี้มันมีสติไง มันมีสติ พอมีสติขึ้นมา พอจิตสงบเข้ามานี่ถึงฐานได้ มีสติควบคุมตลอด ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ จะลึกซึ้งขนาดไหนจะปล่อยวาง จะเข้าถึงฐีติจิต จะว่างขนาดไหน มันจะมีสติตลอดไป

ถ้ามันมีสติตลอดไป สมถกรรมฐาน-วิปัสสนากรรมฐาน ในเมื่อสมถกรรมฐานมันเป็นสัมมาเป็นความถูกต้อง สิ่งนี้มันจะทำประโยชน์กับใจดวงนั้นได้ไง ขณะที่ว่าหลวงปู่มั่นวางแบบอย่างไว้นะ แล้วเขาประพฤติปฏิบัติกัน “จิตนี้ว่าง จิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้จับต้องไม่ได้ จิตนี้ไม่มีสิ่งใดเลย ว่างไปหมด” นี่เขาไม่ถึงฐาน ถึงฐานของเขาเขาก็ไม่มีสติควบคุมสิ่งที่จะเป็นสัมมาสมาธิได้ ความสงบของใจไง

เราถึงภูมิใจว่าเราเป็นพระกรรมฐาน เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น เป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ที่จะประพฤติปฏิบัตินะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระกรรมฐานองค์แรก ถึงทำอาสวักขยญาณทำหัวใจให้สิ้นกิเลสไป แล้ววางศาสนาไว้นี้เป็นเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ แล้วมันเป็นสถาบันไปเองโดยองค์กรของศาสนา มันเจริญรุ่งเรืองไป เห็นไหม เวลาออกประพฤติปฏิบัติแล้ว สิ่งที่ว่าเวลาสหชาติ พระออกบวชปฏิบัติตาม ดูสิ อย่างพระอานนท์ออกประพฤติปฏิบัติตามแล้วค้นคว้าหาสิ่งต่างๆ ขึ้นมา พระอานนท์ทำประโยชน์ไว้ในศาสนามาก เพราะว่าพระอานนท์เป็นพหูสูต

สิ่งที่เป็นพหูสูต สร้างสมสิ่งนี้เป็นประโยชน์ขึ้นมา จำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ จนถึงกับเวลาทำสังคายนามา แล้วก็ท่องบ่นกันมา จนจารึกเป็นอักษรมา เป็นพระไตรปิฎกมาให้เราค้นคว้าอยู่นี้ นี้เกิดจากพระอานนท์ พระอานนท์เป็นผู้ค้นคว้าไว้ สิ่งที่เป็นผู้ที่จำไว้แล้วสืบต่อมาตลอดมา นี้พระอานนท์ทำคุณประโยชน์ไง

สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ เวลาพระเทวทัตก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ว่าออกบวชเหมือนกัน แต่เวลาออกบวช ทำอะไรล่ะ? เวลาทำประพฤติปฏิบัติก็ประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน พระอานนท์นี้เป็นพระโสดาบันนะ สิ่งที่เป็นพระโสดาบันเพราะทำจิตนี้เข้ามา ถึงเข้ามาถึงใจแล้วแก้ไขสิ่งนี้ออกมา สิ่งที่ออกไปคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากออกไปจากใจ แล้วมีความมุ่งมั่นไง มีเจตนาที่ดีมาก

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่มีผู้อุปัฏฐาก พระนี่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาต่างๆ กัน จนถึงเวลาจะเห็นว่าพระปฏิบัติอุปัฏฐากแล้วก็จากไปๆ จะตั้งพระอุปัฏฐากเป็นผู้ที่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นถาวร สุดท้ายแล้วตั้งใจว่าจะตั้งพระอานนท์ พระอานนท์ยังขอนะ ขอว่า

ถ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมที่ไหน กลับมาต้องมาแสดงธรรมให้กับพระอานนท์ฟังถ้าพระอานนท์ไม่ไปด้วย เพราะกันการติฉินนินทาของเขา

แล้วถ้ามีสิ่งที่เป็นประเสริฐ มีสิ่งที่เป็นลาภสักการะที่มีความละเอียดอ่อน ก็ไม่ให้มอบให้กับพระอานนท์ เพราะเขาจะหาว่าพระอานนท์นี้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพื่อลาภ

แล้วถ้าไม่แสดงธรรมให้พระอานนท์ฟัง ก็จะว่าพระอานนท์อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ทำไมพระอานนท์จำไม่ได้

ผู้ที่เป็นคุณประโยชน์ทำสิ่งใดมันก็จะเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนเป็นประโยชน์มาถึงปัจจุบันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระกรรมฐานองค์แรกของโลก องค์แรกของโลกเข้าถึงฐานของใจ ทำลายกิเลสของใจดวงนี้ แต่ผู้ที่สืบต่อ ผู้ที่ส่งต่อมาก็เป็นพระอานนท์สืบต่อมา

แต่เวลาพระเทวทัต ออกบวชเหมือนกัน เป็นองค์กรของศาสนา ศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาต้องมีคนที่ออกประพฤติปฏิบัติถึงจะเป็นองค์กรของศาสนาได้ เวลาออกประพฤติปฏิบัติ ทำถึงฐาน เพราะทำฌานโลกีย์ได้ พระเทวทัตทำฌานโลกีย์นะ ถึงจิตสงบขึ้นมาได้ แต่ความคิดไม่เหมือนพระอานนท์ พระอานนท์นี้เวลาทำถึงฐานแล้วทำลายกิเลสออกไปจากใจ นี่เป็นพระโสดาบันขึ้นมา แล้วตั้งใจสืบต่อศาสนา กิตติคุณกิตติศัพท์ของพระอานนท์นี้ร่ำลือมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์ออกวิเวกไป ใครเห็นพระอานนท์ก็คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครเห็นพระอานนท์ก็มีความเศร้าสร้อยคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระอานนท์เป็นผู้ที่อุปัฏฐาก เป็นผู้ที่อำนวยความสะดวกให้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่แขกใครจะมาเยี่ยม ใครจะมานี่จัดการ ทำให้เป็นประโยชน์

แต่พระเทวทัต เวลามีทำถึงจิตสงบนิ่งเหมือนกัน ถึงฌานโลกีย์ แต่ในเมื่อมีกิเลสอยู่ ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนั้นมีอยู่ ในเมื่อตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมีอยู่ นี่เห็นมีแต่ลาภไง องค์พระอานนท์ปฏิเสธเรื่องลาภเพราะไม่ต้องการให้คนเขาติฉินนินทา แต่พระเทวทัตเห็นเขาเอาน้ำปานะ เห็นนางวิสาขา เห็นญาติโยมที่มาอุปัฏฐากพระ เวลามาก็มีน้ำปานะมา มีสิ่งใดติดมือมาก็ถวายพระองค์นั้น ถวายพระองค์นั้น ทำไมไม่คิดถึงพระเทวทัตเลย ทั้งๆ ที่ว่าพระเทวทัตก็เป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เห็นไหม มันมีกรรมอันหนึ่งที่ว่าเขาคิดไม่ถึง หรือว่าเพราะมีสิ่งที่ว่าสร้างกรรมสิ่งนั้นมา

แล้วใจก็คิดนะ เพราะมีกิเลสตัณหาอยู่แล้ว กิเลสตัณหาขับไสเลยว่า

“เราก็เป็นพระองค์หนึ่งทำไมเขาไม่เห็นเรา”

สุดท้ายแล้วก็ต้องแสดงตัวไง อยากจะปกครองสงฆ์ อยากจะทำอะไร เริ่มต้นจะปกครองสงฆ์ก็ต้องหาฐานก่อน “เราจะเอาใครเป็นฐานดีหนอ” นี่ เห็นอชาตศัตรูเป็นลูกชายของพระเจ้าพิมพิสาร

มีฌานโลกีย์นะ เหาะก็ได้ แปลงตัวเป็นงู เป็นสิ่งต่างๆ ไปพันบนศีรษะพระอชาตศัตรูก็ได้ ทำแสดงสิ่งนี้ แล้วคิดสิ่งนี้ ให้อชาตศัตรูเป็นผู้มาศรัทธาก่อน พออชาตศัตรูมาศรัทธา ศรัทธาแล้วเริ่มถวาย เริ่มถวายน้ำปานะ เริ่มถวายสิ่งต่างๆ ลาภสักการะมันก็เกิด สิ่งที่เกิด เกิดแล้วใจก็ยังคิดใหญ่โตไป คิดจะปกครองสงฆ์ จะไปขอพรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมที่ไหนก็แล้วแต่ พระอานนท์จะจำสิ่งนี้ไว้ แล้วสิ่งที่ก็จะแสดงต่อไป มีคน มีพระมาถามสิ่งต่างๆ พระอานนท์จะแสดงธรรมจะวินิจฉัยว่าสิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส พระอานนท์จะปัดออก สิ่งที่ผิดจะปัดออก แต่พระเทวทัตไปขอสิ่งที่ว่าเป็นไปไม่ได้ไง ไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าขอพร ๕ อย่าง

ขอไม่ให้ฉันเนื้อสัตว์ตลอดไป

ขอให้อยู่ป่าตลอดไป

ขอให้บิณฑบาตตลอดไป

ขอให้อยู่ในที่แจ้งตลอดไป

สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องจริตเรื่องนิสัย เป็นไปไม่ได้นะ คนที่เขามีความเข้มแข็งเขามีความจงใจ เขาทำได้มากกว่านี้ก็ได้ สิ่งที่เขาทำได้มากกว่านี้ถ้าตรงจริตตรงนิสัยเขา เขาก็แก้กิเลสตัณหาของเขาได้ แต่ถ้าคนจริตเขานิ่มนวล จริตเขาสร้างของเขาดี เขาทำที่สะดวกกว่านี้ก็ได้ สิ่งที่ทำสะดวกกว่านี้แล้วไปทำที่เกินไป มันก็เหมือนพิณ ๓ สาย ตึงไป หย่อนไป หรือว่ามัชฌิมาปฏิปทา มันก็จะเป็นประโยชน์ไง

นี่มันสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ให้ไง ถึงบอกว่า

“ใครต้องการทำก็ให้ทำ ใครไม่ต้องการทำก็ไม่จำเป็นต้องทำ”

พระเทวทัตเอาสิ่งนี้โจมตีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ไม่เคร่งเหมือนเรา ไม่ประพฤติธรรมเหมือนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมตลอดบอกว่าให้มักน้อยสันโดษ ให้ประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นถึงใจ แต่ไม่ทำ เวลาพระเทวทัตขอขึ้นมา ไม่ทำ”

สิ่งนี้เวลาออกมาเป็นฐาน เป็นผลประโยชน์ไง แล้วแยกตัวออกไป แยกตัวออกไปนี้ พระเทวทัตก็ยังมีสิ่งเรียกว่าเป็นพื้นฐานของใจอยู่ แต่เมื่อพระเทวทัตคิดทำสงฆ์ให้แตกแยก ๑ จะฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ นี่ฌานโลกีย์ไง สิ่งที่เข้าถึงฐานนี้เสื่อมหมดเลย เสื่อมหมดเลยจนไม่มีลาภ สิ่งต่างๆ เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่พอเป็นไปไม่ได้ บิณฑบาตไม่มีใครเขาใส่บาตรให้ ถึงบอกว่าให้ลูกศิษย์ลูกหาไปขออาหารจากครอบครัวมา แล้วฉันเป็นภาชนะ โภชนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่า “สิ่งไม่ได้บิณฑบาตมาแล้วฉันอาหารเป็นภาชนะ” ถึงบัญญัติธรรมไว้นิยามของกฎหมายของธรรมวินัยข้อนี้ก็เหมือนกัน แล้วเวลาฉันเป็นคณะ ฉันเป็นโภชนะนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่ทำไว้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเข้าไม่ถึงฐาน ไม่เป็นพระกรรมฐาน

ถ้าเป็นพระกรรมฐาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธุดงควัตรไว้ ธุดงควัตร ๑๓ นี้เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส ใครจะทำก็ได้ ใครจะไม่ทำก็ได้ ไม่ปรับอาบัติ แต่ศีล ๒๒๗ นี้ปรับอาบัติ ศีล ๒๑,๐๐๐ นี้ปรับอาบัติ สิ่งใดที่ทำแล้วเป็นความผิดพลาด เป็นอาบัติทุกกฎ ทุกกฎ ปรับอาบัติทั้งหมดแล้วเราต้องปลงอาบัติไง

ปลงอาบัติเพราะถ้าเราไม่ศึกษาธรรม ไม่ศึกษาวินัย เราก็จะไม่เข้าใจสิ่งนี้ แล้วเราก็ทำความผิดพลาดตลอดไป สิ่งที่ทำผิดพลาด ผิดเพราะไม่รู้ก็เป็นอาบัติ ทำผิดเพราะไม่รู้ รู้ทำผิดก็เป็นอาบัติ สิ่งที่เป็นอาบัติ แล้วเราจะมานั่งทำสมาธิขึ้นมานี่จิตมันจะสงบได้ไหมล่ะ ถ้าจิตมันไม่สงบเพราะอะไรล่ะ

เพราะเรามีกิเลสในหัวใจ สิ่งที่กิเลสในหัวใจ มันก็ทำให้ใจของเรามีความเร่าร้อน เวลาศีลของเราปกติ เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราประพฤติปฏิบัติของเราจิตมันยังไม่สงบเลย แล้วถ้าจิตมันมีตัณหาความทะยานอยากอันหนึ่ง สิ่งนี้เป็นสมุทัยทำให้จิตนี้เผาลนตัวเองอยู่แล้ว แล้วเกิดอาบัติ เกิดกรรม เกิดการกระทำอย่างนั้นมันก็ยิ่งหลอกลวงตัวเองขึ้นไป เห็นไหม ถึงต้องปลงอาบัติ การปลงอาบัตินี้เป็นการว่าเราปลงอาบัติแล้วเราจะสำรวมระวัง ในคำปลงอาบัติต้องจะสำรวมระวัง เราจะไม่ทำผิดพลาดอย่างนี้อีก แต่ในเมื่อมีกิเลสมีตัณหาอยู่มันก็ทำความผิดพลาดนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พระเทวทัตทำขนาดนั้น ถึงกับแบ่งแยกสงฆ์แล้วถึงคบกับอชาตศัตรู ให้อชาตศัตรูฆ่าพ่อนะ ทำลายถึงขนาดนี้มันเป็นธรรมได้อย่างไร ในเมื่อมีการฆ่ากัน มันจะเป็นธรรมได้อย่างไร แล้วตัวเองยังคิดจะทำร้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อชาตศัตรูส่งคนไปฆ่านะ ส่งคนไปฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ส่งทหารต่อไปให้ฆ่าคนที่ฆ่านั้นมา นี่เป็นทอดๆ มาถึง ๑๖ คน แต่เวลาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ทำไมมาช้าหนอ” ย้อนกลับไปไง จะดักรอฆ่าคนที่ฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่มา ก็กลับไป กลับไปอีก

จนถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อกุศล เขาคิดจะทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถเทศน์สอนให้เขาปล่อยวางสิ่งนั้น ให้เขาขอออกบวช บวช นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันแก้ไขได้ แก้ไขได้เพราะอะไร เพราะว่า ๑๖ คนนี้เขาโดนพระเจ้าอชาตศัตรูใช้มา สั่งมา แต่ใจของเขา เขาไม่ได้ชั่วช้าบาปหยาบช้าขนาดที่ว่าเขาจะจงใจทำขนาดนั้น

แต่คนที่สั่งมา อชาตศัตรู ๑ พระเทวทัต ๑ สิ่งนี้มันฝังใจ มันอาฆาตมันพยาบาท สิ่งที่อาฆาตพยาบาทก็จะทำลายต่อไปๆ ทำอย่างนี้ไม่สำเร็จก็ทำต่อไปๆ จนถึงที่สุด พระเทวทัตถึงที่สุด จนธรณีสูบนะ ตกนรกอเวจีไปเพราะอะไร เพราะทำลายสิ่งนี้ทำลายมาก แต่อชาตศัตรูไปทำลายพ่อ จะฆ่าพ่อ จะฆ่าพ่อ เพราะได้ความหลงผิดเหมือนกัน เพราะจะทำร้ายพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารเป็นโสดาบันไง จับไปขังไว้ จะเข้าไปปลงพระชนม์...รู้ จับได้ พระเจ้าพิมพิสารก็ให้อภัยนะ

“อยากได้อะไร?”

“อยากได้ราชสมบัติ”

ก็ให้ราชสมบัติไป

เสร็จแล้วก็เอาพ่อไปขังเพราะกลัวพ่อจะออก พ่ออยู่พ่ออาจจะเอาคืนก็ได้

เอามีดผ่าเท้านะ เดินจงกรมอยู่ไม่ตายซักที

ถึงที่สุด เวลาลูกเกิด ตัวเองก็มีลูก ลูกเกิด พระเจ้าพิมพิสารตายพร้อมกับลูกอชาตศัตรูเกิด แล้วอำมาตย์จะมารายงานไง เวลารายงานก็ว่าใครจะเข้ารายงานก่อน ตกลงกันว่าให้บอกว่า

“ลูกเกิดก่อน” พอลูกเกิดก่อนก็ดีใจมาก

“แล้วพ่อล่ะ”

บอกพ่อไง ความรักพ่อพอบอกว่า “พ่อตายแล้ว” เสียใจมาก เสียใจก็เพราะว่าพ่อตายแล้ว พ่อตายแล้ว เพราะพ่อก็รักเราเหมือนเรารักลูกนั่นแหละ

นี่ถ้าไม่มีประสบการณ์ก็โดนเขาหลอกได้ แต่พอมีประสบการณ์ว่า “เรารักลูกของเราขนาดนี้พ่อเราก็ต้องรักเราอย่างนี้เหมือนกัน” แต่เพราะกรรมมันบันดาลไง เพราะได้ทำลายพ่อของตัวเองไว้ สุดท้ายแล้วนะ เสียอกเสียใจมาก

พระเทวทัตนี้ก็ต้องตายไปโดนธรณีสูบไป

มีความอาลัยอาวรณ์ มีความทุกข์มาก จนหมอชีวกพาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ กลับใจของพระอชาตศัตรูให้มาศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก อชาตศัตรูศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แล้วเวลาทำบุญกุศล ทำบุญอย่างมหาศาลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“พระอชาตศัตรูนี้ได้ทำลายพ่อ ได้ฆ่าพ่อแล้ว เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก ถ้าพระอชาตศัตรูนี้ไม่ได้ฆ่าพ่ออย่างน้อยต้องเป็นโสดาบันถึงอนาคา” จะได้บุญมหาศาลเลย

เพราะทำลายพ่อ ดูกิเลสตัณหาสิ สิ่งที่กิเลสตัณหา พระกรรมฐานจะต้องเข้าไปทำลายตรงนี้ ถ้าไม่ทำลายนี้คือตัวอย่างนะ แล้วดูอย่างพระอุบาลี พระอุบาลีออกบวชพร้อมกับกุมารทั้ง ๕ กุมารทั้ง ๕ ออกบวช “เราจะออกบวช” พระอุบาลีนี้เป็นกัลบกเป็นผู้ที่ตัดผมให้กับราชกุมารมาตลอด แล้วเป็นพี่เลี้ยงออกมา จะออกบวชไปด้วยกัน สุดท้ายแล้วถอดนะ ถอดเครื่องประดับต่างๆ ที่เป็นเพชรนิลจินดา ห่อผ้าให้กับพระอุบาลีให้กลับไป และตัวเองจะไปบวชไง

พระอุบาลีเดินกลับ สุดท้ายคิดว่า “เรานี่เอาเพชรนิลจินดาของกุมารทั้ง ๕ มา เราจะเอาไปเขาจะคิดว่าเราลักมาหรือเปล่า” อันนี้เป็นประเด็นหนึ่ง

แล้วคิดว่า “ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างนั้น เราจะเป็นประโยชน์อะไร” นี่คิดว่าอยากออกบวช

แก้วแหวนเงินทองแขวนไว้กับต้นไม้เลย แล้วเดินกลับไปพร้อมกับตามกุมารทั้ง ๕ นั้นไป แล้วไปออกบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

พระราชกุมารทั้ง ๕ ว่า “เรานี่เป็นอายุน้อยกว่า พระอุบาลีนี้มีอายุมากกว่า”

นี่เป็นเจ้านายแต่ขอให้ลูกน้องได้ออกบวชก่อน ออกบวชก่อนเพื่อจะได้กราบได้ไหว้ไง สิ่งที่ได้กราบได้ไหว้เพื่อจะเป็นผู้นำเพราะอายุมาก อาวุโส ภันเตไง เห็นไหม การเคารพกันตั้งแต่ใจเป็นธรรม ทำสิ่งใดออกมามันก็เป็นธรรม แม้แต่กิเลสเต็มตัวพึ่งบวชอย่างนี้มันก็เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรม ความเป็นอยู่มันก็มีความราบรื่น

สิ่งนี้แล้วออกประพฤติปฏิบัติ “กรรมฐาน” ถึงที่ตั้งกรรมฐาน สิ่งที่มันเป็นบุญกุศลมันจะย้อนกลับมาเป็นบุญกุศลของตัว พระอุบาลีนี้ออกบวชแล้ว ทำลายกิเลสออกไป พระอุบาลีนี้เป็นพระอรหันต์นะ แล้วทรงวินัยไว้ไง เป็นพระอรหันต์ที่แตกฉานในเรื่องวินัยมาก เป็นเอตทัคคะทางวินัย ถ้ามีความผิดพลาดมีความสิ่งต่างๆ นี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้พระอุบาลีนี้เป็นผู้ชี้เป็นผู้ตัดสิน ทรงวินัยไว้มาก

พระฉันนะเป็นผู้ที่ออกบวชพร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช พระฉันนะนี่เป็นอำมาตย์ที่ออกมาส่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตัดผม ให้ม้านั้นกลับไปกับพระฉันนะ พระฉันนะกลับไปอยู่ในพระราชวัง ถึงที่สุดแล้วเขาออกบวช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้มีชื่อเสียงมาก ทุกคนก็ออกบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงที่สุดตัวเองก็ออกบวชไปกับเขา

“ออกบวช” ออกบวช พระกรรมฐาน แล้วทำไมไม่ทำลายกิเลสล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก ถึงมีชื่อเสียงมีกิตติคุณกิตติศัพท์มหาศาลเพราะว่าทำลายกิเลสออกไปจากหัวใจ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายกิเลสออกไปจากหัวใจ จะแสดงออกมาจากสิ่งต่างๆ จะเป็นธรรมๆ ทั้งหมด

ราชกุมารทั้ง ๕ พระอุบาลีออกบวช พยายามจะทำกิเลสของตัวออกจากใจ สิ่งที่ทำกิเลสออกจากใจ เห็นไหม เป็นประโยชน์ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่จริตนิสัย คนมีหยาบ-มีละเอียดต่างกัน สิ่งนี้ทำขึ้นมาเพื่อเป็นคุณประโยชน์ทั้งนั้น แต่พระฉันนะเวลาออกบวชขึ้นมา ออกบวชเพราะโลกเขาตื่นเต้นกัน โลกเขาตื่นเต้นกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชื่อเสียง มีลาภ มีสักการะ มีสิ่งต่างๆ ออกบวชไปเพื่อมีชื่อเสียงไง

สิ่งต่างๆ นี่ไปทำลายในหมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์จะมีปัญหากับพระฉันนะมาก พระฉันนะจะไปกีดไปกันเขาทุกอย่าง กีดกันเขาเพราะเหตุใด เวลากีดกันเขาบอกว่า “เขามาบวชเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ” แต่พระฉันนะก็บอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชเพราะฉัน ฉันเป็นคนพาออกบวชนะ”

ไปยึดมั่นถือมั่นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสมบัติของตัวไง ยึดมั่นถือมั่นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชเพราะตัว แล้วก็ไปทำลายเขา ไปขัดขวางเขา ไปทำลายเขาทั้งหมดเลย จะเป็นปัญหามากเพราะอะไร เพราะเอากิเลสตัณหาเข้ามาบวช ไม่ใช่พระกรรมฐาน “พระกรรมฐาน” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มาทำลายกิเลสออกไปจากใจ ไม่ใช่มาสะสมกิเลส ไม่ใช่สั่งสมกิเลส

พระในปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้สะสมเกี่ยวกับอะไร เวลาบวชขึ้นมาสะสมแต่กิเลส ในเมื่อศาสนามันจะเจริญขึ้นมา เห็นไหม มันก็มีนะ ในสมัยพุทธกาลเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติ สงฆ์หมู่น้อยมีธรรมวินัยก็น้อยอยู่ แต่พระอรหันต์มหาศาลเลย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเพราะเขามีธรรมในหัวใจไง มีอำนาจวาสนาถึงจะออกบวชเพื่อจะชำระกิเลส ในเมื่อจะชำระกิเลสมันก็ต้องมองตัวเองก่อน ทำลายกิเลสในหัวใจของเรา

สิ่งที่กิเลสในหัวใจมันเผาลนใจเราอยู่แล้ว เราคิดของเรา ตัณหาความทะยานอยากของเรา เราต้องการสิ่งใด มันหลอกใครไม่ได้หรอก มันหลอกคนอื่น มันทำคนอื่น มันก็ทำลายคนอื่นแต่มันก็เผาหัวใจของเรา สิ่งนี้เผาหัวใจของเรา แล้วถึงที่สุดกรรมมันก็จะสนองตัวเรา นี้ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เพราะสิ่งที่ว่าศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ดูสิ สมัยพระเจ้าอโศก พระออกมาบวชมากเพราะลาภสักการะมหาศาล ถึงจนทำให้ศาสนาวุ่นวายมาก จนถึงสุดท้ายแล้วพระแบ่งแยก ไม่ลงอุโบสถกัน พระเจ้าอโศกให้อำมาตย์ไปตัดสิน อำมาตย์ก็ไปตัดหัวพระ ตัดหัวพระ เพราะพระเจ้าอโศกสั่งให้พระลงอุโบสถร่วมกัน ถึงที่สุดแล้วญาติของพระอโศกมาขวางไว้ ถึงที่สุดแล้วอำมาตย์ไม่กล้าตัดหัว กลับไปบอกพระเจ้าอโศก

พระเจ้าอโศกบอก “เป็นกรรมของเรา เป็นกรรมของเรา” เพราะไม่ได้สั่งอย่างนั้น สั่งบอกว่าให้หาอุบายวิธีการจะให้สงฆ์สามัคคีกัน แต่นี้ทำไมไปตัดหัวล่ะ เพราะมีอำนาจไง ตัวเองมีอำนาจเป็นผู้ที่มีอำนาจได้รับคำสั่งมาจากพระเจ้าอโศกมหาราช แล้วก็เที่ยวไปตัดหัวเขา เขาบอกว่าให้ไปทำอย่างหนึ่ง ตัวเองก็ไปทำอีกอย่างหนึ่งเพราะอำนาจ นี่ความเห็นผิด ความเห็นผิดของใจมันจะทำลายสิ่งอื่นให้เป็นทุกข์เป็นร้อนไป พระเจ้าอโศกนี่เป็นทุกข์ร้อนมากถึงไปหาอาจารย์ของตัวเอง ถามพระติสสะว่า “เราทำอย่างนี้เป็นบาปไหม”

พระเจ้าอโศกมีเจตนาดี เจตนาจะทะนุบำรุงศาสนา แต่ในเมื่อเจตนาดีแต่คนไปทำผิด ถึงบอกว่าต้องทำสังคายนา ทำสังคายนาแล้วจับพระ ถ้าพระองค์ไหนกล่าวอริยสัจผิด ให้สึก ให้สึกๆ สิ่งนี้มันมีมาดั้งเดิม ปัจจุบันนี้ก็มีสิ่งนี้ เพราะการประพฤติปฏิบัติเห็นแก่ลาภ เห็นสักการะ เห็นการปลูกสร้าง เห็นการก่อสร้างต่างๆ สิ่งนั้นเป็นผลงาน เป็นสิ่งที่ว่าโลกเขาชื่นชมกัน ถ้าพระกรรมฐานเราไปติดสิ่งนั้น ติดสิ่งที่ว่าเป็นเรื่องของวัตถุก่อสร้าง สิ่งที่เป็นวัตถุก่อสร้างมันเกิดมาจากอะไร? เกิดมาจากความคิด เกิดมาจากสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ในเมื่อสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งไปต้องการสิ่งนี้ มันก็มีแต่ความเร่าร้อนเผาหัวใจเข้ามาตลอดไป

แต่มันเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์กับกิเลสไง กิเลสเอาสิ่งนี้ออกเดิน กิเลสเอาสิ่งนี้ออกขยายแล้วมันก็เอาสิ่งนี้มาเพื่อผลประโยชน์ของมัน เพื่อเป็นตัณหาความทะยานอยาก เพื่อสิ่งที่ให้เป็นลาภสักการะต่อลาภสักการะไปไง เราสร้างผลงานขึ้นมา เราออกเรี่ยไรมาเพื่อจะสร้างสมสิ่งนี้ พระไม่มีอาชีพ พระไม่มีสิ่งที่ทำเป็นการค้าจะไปเอาเงินมาจากไหน ก็ต้องบอกเรี่ยไรมา เรี่ยไรมาสิ่งต่างๆ ก็เป็นผลประโยชน์ของตัวบ้าง ผลประโยชน์ของการก่อสร้างบ้าง

ในเมื่อองค์กรศาสนาเจริญขึ้นมา มันก็มีสิ่งอย่างนี้ขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้เพราะต้องการลาภสักการะ เพราะจิตใจของตัวไม่สะอาดไม่บริสุทธิ์ สิ่งที่จิตใจของตัวไม่สะอาดไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่พระกรรมฐาน

พระกรรมฐานคือฐานของใจ

“พระกรรมฐาน” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ที่โคนต้นโพธิ์นะ ฐานของก้นติดกับโคนต้นโพธิ์ ติดกับดิน ติดกับหญ้า ๘ กำของโสตถิยะพราหมณ์ นี่ฐานของก้นติดกับหญ้า ๘ กำที่รองรับไว้ ฐานของใจทำอาปานสติเข้ามาจนถึงฐานของใจ แล้วฐานของมรรคไง มรรคเกิดที่ใจนี้ฐานของใจเกิดขึ้น “มรรค” มรรคญาณเกิดขึ้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ ธรรมขึ้นมาถึงฐานของใจ

แต่ถ้าไม่เข้าถึงมรรค ออกไปรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณ สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับไป ย้อนอดีตชาติถึงที่สุดก็ไม่ใช่ ย้อนกลับเข้ามา เข้าถึงฐานเข้ามา ฐานของใจ ออกไปรับรู้จุตูปปาตญาณสิ่งนี้ก็ยังไปเห็นการตายการเกิดของสัตว์ต่างๆ นี่ไม่ถึงฐานของใจ ถ้าถึงฐานของใจ อาสวักขยญาณ ทำถึงฐานของใจ ทำลายกิเลสออกไป นี้พระกรรมฐานองค์แรกของโลก

งานของพระกรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เวลาพระอุปัชฌาย์บอก นี่กรรมฐาน ถ้าเราเอากรรมฐานอย่างนี้เป็นงานของเรา ไม่ใช่งานก่อสร้างหรอก งานก่อสร้างนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นศาสนวัตถุ ถ้าเป็นศาสนวัตถุ พระไปติดกันสิ่งนั้น พระไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น มันเป็นความกังวลใจ เวลาเราคิด เวลาเราต้องการสิ่งใดไม่สมความปรารถนา มันก็เป็นความกังวลใจอยู่แล้ว แล้วเราไปก่อสร้างสิ่งต่างๆ มันไปเสริมให้ความคิดนี้มันออกไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น มันจะเป็นกรรมฐานได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อกรรมฐานมันต้องสละสิ่งนั้น สละสิ่งที่คิดสิ่งใด ต้องการสิ่งใด ไม่ปรารถนาสิ่งนั้น

พระฉันนะออกไปทำอย่างนั้น ไปขัดไปขวางเขา ไปสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเลย จนเป็นปัญหาไปในหมู่สงฆ์ จนพระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานถามว่า “พระฉันนะเป็นผู้ที่ว่าเป็นผู้ก่อกวนในวงการของสงฆ์มาก สงฆ์นี่มีความยุ่งยากกับพระฉันนะนี้มาก” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ไว้นะว่า ถ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ

พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระอานนท์ทำเรื่องสรีระศพ เผาศพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียบร้อย ทำสิ่งต่างๆ มาสงบเรียบร้อย ไปหาพระฉันนะบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งไว้ให้ลงพรหมทัณฑ์” สิ่งที่ลงพรหมทัณฑ์คือยกออกจากหมู่ “ยกออกจากหมู่” สงฆ์ทั้งหมดไม่พูดกับพระฉันนะ เพราะพระฉันนะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นอดีตมาแต่อดีตมาว่าเป็นสมบัติของตัวไง

พระฉันนะ ลงพรหมทัณฑ์เป็นสังฆาทิเสส ไม่ร่วมด้วย ไม่สังฆกรรมด้วย ห้ามพระทุกองค์สังฆกรรมกับพระฉันนะ ถ้าใครสังฆกรรมกับพระฉันนะเป็นอาบัติ เป็นอาบัติ ถึงไม่มีใครสังฆกรรม เห็นไหม แล้วสมัยพุทธกาลเป็นสิ่งที่ว่าเขารักษาหน้ารักษาตามาก พระฉันนะรู้อย่างนั้นถึงกับสลบนะ ในเมื่ออย่างนั้นมันก็ยังมีใจสิ่งที่ว่ามีความละอายอยู่ สลบเลย สลบแล้วฟื้นขึ้นมามีความเสียใจมาก เข้าป่าไป เข้าป่าไป ไปประพฤติปฏิบัติ ไปค้นคว้าของตัว

พระอานนท์ หมู่สงฆ์ก็เผยแผ่ศาสนามา จรรโลงศาสนามา พระฉันนะเข้าไปในป่าก็เข้าไปทำกรรมฐาน สิ่งที่กรรมฐานเพราะสิ่งนี้มีบุญกุศล เพราะได้ส่งเสริมได้ออกบวชมากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสร้างสมมามันมีโอกาสอยู่ ถึงย้อนกลับมาดูใจของตัวไง ทำใจของตัวให้สิ้นจากกิเลส พอใจของพระฉันนะสิ้นจากกิเลส เห็นไหม ความคิดมันต่างนะ

“จากเดิมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชเพราะเรา เราเป็นผู้ที่มีคุณประโยชน์ในศาสนา มีคุณประโยชน์ในศาสนาสิ่งนี้มันเป็นอดีตไปแล้วก็ไปยึด มันเป็นกิเลสตัณหาทำให้ใจให้ฟุ้งซ่านไปหมด ทำให้ใจดวงนี้ไปกดขี่ข่มเหง ไปทำลายพระทั้งหมดเลย”

สุดท้ายแล้วพอเข้าป่าไปประพฤติปฏิบัติ ถึงที่สุดแล้วพระฉันนะเป็นพระอรหันต์ กลับมาหาพระอานนท์นะ มาขอปลงอาบัติ มาขออยู่สังฆกรรม พระอานนท์บอกว่า “ในเมื่อการประพฤติปฏิบัตินี้สิ้นสุดแล้ว กรรมนั้นก็ไม่มี สิ่งที่พรหมทัณฑ์นี้ก็ยกเลิกกันไป” มันยกเลิกด้วยการประพฤติปฏิบัติ ยกเลิกโดยกรรมฐาน ยกเลิกโดยหัวใจของพระฉันนะที่ประพฤติปฏิบัติแล้วเข้าถึงธรรมอันนั้นไง

ถ้าเข้าถึงธรรมอันนี้ มันถึงย้อนกลับมาถึงใจของเรา ถ้าเราเป็นพระกรรมฐาน เราต้องมีโอกาสแล้ว สิ่งนี้เป็นสัปปายะ โลกนี้เป็นสัปปายะ ปัจจุบันนี้เป็นสัปปายะ สัปปายะเพราะครูบาอาจารย์เราวางรากวางฐานเอาไว้แล้ว ในเมื่อครูบาอาจารย์เราวางรากวางฐานไว้แล้ว เราจะต้องเอาสิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์กับเรา เราจะไปเอาสิ่งเรื่องของกิเลสตัณหามาเป็นประโยชน์กับเราไม่ได้ สิ่งที่กิเลสตัณหามันไม่เป็นประโยชน์กับใคร มันจะทำลายใจทุกดวงใจ ทุกดวงใจมีกิเลสอยู่ กิเลสจะเผาลนทุกดวงใจนั้น แล้วต่างคนต่างมีกิเลส ต่างคนต่างเอากิเลสฟาดฟันกันมันเป็นประโยชน์สิ่งใด? มันไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดเลย

“มโนกรรม” กรรมสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจ มันเป็นมโนกรรม สิ่งที่มโนกรรมมันก็ทำให้จริตนิสัยเป็นสภาวะแบบนั้นถึงต้องขอนิสัย การบวชการเรียน เวลาบวชแล้วเราต้องอยู่กับอุปัชฌาย์ก่อน ในเมื่อเรายังไม่พ้นนิสัยต้องอยู่กับอุปัชฌาย์ แต่ถ้าเราไปอยู่กับครูบาอาจารย์ เราก็ต้องขอนิสัยเพื่อจะให้นิสัยนี้มาไง ให้มโนกรรมไม่ให้มันฝัง สิ่งที่ฝังเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะฝังอยู่อย่างนั้น แล้วความคิดของเรามันก็เป็นมโนกรรม ถึงต้องขอนิสัย ต้องเปลี่ยนนิสัย ถ้าเปลี่ยนนิสัยอันนี้ได้

อยู่กับครูบาอาจารย์ อยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นพาทำออกประพฤติปฏิบัติเพื่อชำระกิเลสนะ หลวงปู่มั่นไม่ให้ส่งเสริมกิเลส ในการประพฤติปฏิบัติในการก่อสร้างสิ่งต่างๆ หลวงปู่มั่นจะไม่ให้มีเลย ในเมื่อเวลาปัดกวาดแล้วจะไม่ให้มีเสียงต่างๆ รบกวนกันเลย เพื่ออะไร เพื่อให้ทุกๆ คน พระทุกๆ องค์มีโอกาสทำใจของตัวให้พ้นจากกิเลส

เพราะถ้าพ้นจากกิเลสได้ จะเป็นตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระกรรมฐานองค์แรกของโลกที่พ้นจากกิเลส วางธรรมไว้เผยแผ่ธรรมไว้เป็นประโยชน์ขนาดนี้นะ แล้วพระสาวก-สาวกะต่างๆ ที่พ้นจากกิเลสมาจะสืบต่อธรรมมาโดยถูกต้องโดยชัดเจนจากใจดวงนั้น

แต่การศึกษาเล่าเรียนมานี้ เป็นการรักษาศาสนาอันหนึ่ง แต่รักษาศาสนาให้ปริยัตินี้ทรงๆ มาสืบต่อมา ไม่มีพระปฏิบัติ พระไตรปิฎกก็มีอยู่แล้ว เวลาภาคปริยัติว่าเวลาต้องศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกแล้วพยายามทำบทวิจัยออกมา บทวิจัยออกมา วิจัยขนาดไหนถ้าเป็นสาวกะ-สาวกจะละเอียด จะรอบคอบ แบบพระไตรปิฎก มันไม่ได้หรอก

แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติพ้นจากกิเลสแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบไว้ให้เป็นทางออกไว้ว่า พระไตรปิฎกนี้เหมือนกับใบไม้ในกำมือ สิ่งที่เป็นใบไม้ในกำมือมันเป็นเหมือนกับรัฐธรรมนูญ สิ่งที่เป็นรัฐธรรมนูญเป็นหัวใจ แล้วเป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญานั้นแตกต่างออกไป นั้นไปเป็นฎีกา เป็นอรรถกถานี้ออกไป นั้นวิจัยมา นั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ใบไม้ในกำมือ กับใบไม้ในป่า

แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ หัวใจความรับรู้อันนี้มันจะมหาศาลมาก ธรรมในการประพฤติปฏิบัติมันจะออกรู้สิ่งต่างๆ ออกรู้สิ่งต่างๆ สิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์ก็พยากรณ์ออกมาให้มันเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แต่เกิดจากจริตนิสัยของใจดวงนั้น ก็เก็บไว้ จริตนิสัยเก็บไว้ในหัวใจดวงนั้นว่าความมหัศจรรย์ ความสิ่งต่างๆ ของโลก ธรรมนี้มันเวิ้งว้าง มันกว้างขวางขนาดนี้ สิ่งที่เป็นไปของโลกมันมหัศจรรย์ขนาดนี้

โลกนะ รูปภพ อรูปภพ...โลกทั้ง ๓ มันกว้างขวางขนาดไหน แต่โลกของใจมันเวียนตายเวียนเกิดสะสมสิ่งนี้เป็นจริตเป็นนิสัย สิ่งนี้เราต้องแก้ไขใจของเรา ถ้าเราจะเป็นพระกรรมฐาน สิ่งนี้มันมีข้อมูลอยู่แล้ว ฐานคือฐานของเรา เท้าของเราเดินไปฐานเวลาอยู่กับเท้าเดินจงกรม เราเดินจงกรมก็เป็นกรรมฐาน เรานั่งสมาธิก็เป็นกรรมฐาน นี้ฐานของใจ ฐานของใจคือพระป่า พระกรรมฐานเราไง เราออกป่ามาก็เพื่อให้เท้าได้เดินจงกรม ให้เราได้นั่งสมาธิภาวนา นี่สัปปายะสมควร มันเป็นปัจจัยของเรา เรามีอำนาจวาสนามาก

ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนานะ เวลากิเลสมันมืดบอด เขาใช้ชีวิตกัน เขาใช้ชีวิตกันในบ้านในเมืองเขาว่าเขามีความเจริญรุ่งเรือง เขามีความสุขมีความสบาย แล้วภิกษุอยู่ป่ามันจะมีความสุขมันจะมีความเจริญ ความสะดวกสบายมาจากไหน? มันจะมีความสะดวกสบายมาจากหัวใจไง หัวใจมันมีความสงัดมาก มันมีความสงบ มันมีความวิเวก มันจะมีความสุขมาก สุขมากเพราะมันปลดเปลื้องความเป็นสิ่งที่เป็นภาระรุงรังจากหัวใจ ความคิดความปรุงความแต่งที่เขามีความสุขกัน เขามีความสุขกัน เขาต้องเสพสิ่งต่างๆ เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เสพอะไรที่มันเอร็ดอร่อย สิ่งที่มันเป็นความสุข สิ่งที่มันเป็นนุ่มอ่อนที่มันพอใจกับใจมัน มันแน่ใจ มันพอใจ มันก็แสวงหาเพื่อจะให้มันมีความสุข

มันมีแต่ความเร่าร้อน มีแต่ตัณหาความทะยานอยาก มันมีแต่ไฟสุมขอน มันมีแต่เอาไฟเผาใจตัวเอง เพราะต้องการความสุขความสะดวกสบายขนาดนั้น

แต่พระกรรมฐานอยู่ป่ามีความสุข มีความสุขเพราะมีความสงบ มีความสงัด ใจมันปล่อยมันเบา มันปล่อยมันเบาเราก็ต้องมีสติของเราควบคุมใจของเราเข้าไป ถ้าเรามีสติ มีควบคุมใจของเราเข้าไป มันจะเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิ จิตนี้จะตั้งมั่น ถ้าจิตเราตั้งมั่น มันควรแก่การงาน เราจะยกขึ้นวิปัสสนา

ถ้ายกวิปัสสนา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ “สมถกรรมฐาน-วิปัสสนากรรมฐาน” พระกรรมฐานจะต้องหาฐานของใจให้เจอก่อน ถ้าหาฐานของใจของตัวให้เจอนี้คือกรรมฐาน “กรรมฐาน” วิปัสสนากรรมฐานหาใจของตัวให้เจอแล้วยกขึ้นวิปัสสนา ต้องวิปัสสนาเพื่อชำระกิเลส

กิเลสนี้เป็นโรคเป็นภัยกับใจนั้น โรคกับภัยของกายเกิดขึ้นมาแล้วปวดหัวตัวร้อนก็ทำให้ร่างกายนี้เร่าร้อน ถ้าวิการขึ้นมา ถ้าเอาไว้ต่างๆ ขึ้นมา มันเป็นโรคเป็นภัยที่รุนแรง มันจะทำให้เราเจ็บปวดในร่างกายของเรา ถึงที่สุดถ้ามันวิการไป มันก็ทำให้เราตาย สิ่งที่ตายชีวิตเรามีเท่านี้ ร่างกายมันมีแต่รวงรังของโรค

แต่เรามีอำนาจวาสนา เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ศาสนาเจริญรุ่งเรืองหนหนึ่ง เรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ เราได้ออกบวชเป็นพระกรรมฐาน แต่ต้องให้เป็นกรรมฐานสมชื่อกรรมฐานว่าเราเป็นพระกรรมฐาน เราต้องพยายามประพฤติปฏิบัติ เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา

ถ้าพระกรรมฐานไม่สามารถดำรงความสงบของใจ ใจเป็นสมาธิขึ้นมาไม่ได้ พระกรรมฐานจะเอาอะไรเป็นเครื่องอยู่ ถ้าพระกรรมฐานไม่มีอะไรเป็นเครื่องอยู่ หัวใจมันก็เร่าร้อน สัตว์เขาไปขังกรงไว้ มันมีแต่ความทุกข์ของมัน เพราะมันอยู่ในกรง สัตว์ถ้ามันอยู่ในป่ามันการดำรงชีวิตของเขา เขาจะทุกข์จะร้อนขนาดไหน เขาก็มีอิสรภาพเสรีของเขา

บวชขึ้นมาขังใจไว้ในร่างกายเรา เราว่าเราเป็นพระ เราเป็นพระ เราขังใจของเราไว้ แต่มันไม่เป็นกรรมฐานขึ้นมามันก็มีความเร่าร้อน มันก็ดิ้นรนอยู่ในกรงนั้น ในกรงของธรรมวินัยนี้ไง

ธรรมวินัยนี้เป็นศาสดาของเรา สิ่งที่เป็นศาสดาของเรา เราเชื่อมั่นในศาสดาของเรา เราก็ยังมีกรง กรงคือวินัยขังเราไว้ เราก็อยู่ในธรรมวินัย แต่ถ้าพระที่หน้าด้านอยู่ในธรรมวินัยนี้มันก็ทำลายกรงของมัน มันทำลายกรงของมันออกไป พระกรรมฐานมีกรงขังใจไว้ ถ้ามันทุกข์มันร้อนเราก็พยายามทำความสงบของใจเราขึ้นมา เพราะเราเป็นพระกรรมฐาน แต่พระที่เขาหน้าด้านเขาโกงเขาไม่ยอมรับรู้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ถ้าเราปรินิพพานแล้วบอกพระอานนท์ไว้ว่า “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา” ถ้าเราเชื่อมั่นในศาสดาของเรา เราเคารพในธรรมวินัยของรา เราจะมีกรงขังใจ ถ้าขังใจขึ้นมา ถ้าทำกรรมฐานของเราทำไม่สงบเข้ามา มันจะเร่าร้อน มันจะดิ้นรนอยู่ในกรงขังนั้น เราก็พอใจจะขัง พอใจจะขังเพราะเราขังขึ้นมาเพื่อจะให้มันตั้งมั่นขึ้นมา

แต่เวลามันสงบขึ้นมา เห็นไหม กรงนี้ไม่เกี่ยว กรงนี้เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นวินัย จิตเราเข้าถึงความสงบ มันเป็นธรรม ธรรมนี้ละเอียดอ่อนกว่าวินัยมหาศาล วินัยนี้เป็นสมมุติ ธรรมนี้ละเอียดอ่อนกว่าวินัย สิ่งที่ละเอียดอ่อนกว่าวินัย เราถึงต้องประพฤติปฏิบัติเข้ามา ถ้าใจเป็นธรรมจะทำสิ่งต่างๆ ผิดวินัยไปไม่ได้ เพราะสิ่งที่เป็นวินัยนี้มันเป็นกรงขังอยู่ ถ้าเป็นธรรมขึ้นมา จะคิดเป็นกิเลสมันก็จะสะเทือนหัวใจ

สิ่งที่สะเทือนหัวใจเพราะจิตนี้เป็นอัตโนมัติ คิดสิ่งใดสติจะพร้อมขึ้นมา ผู้มีธรรมถึงจะไม่คิดทำสิ่งต่างๆ จะไม่เบียดเบียนใจของตัวและจะไม่เบียดใจของคนผู้อื่น เหมือนกุมารทั้ง ๕ กับพระอุบาลี ทั้งๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจนะ แต่หัวใจเป็นธรรม ยังเคารพพระอุบาลีให้พระอุบาลีออกบวชก่อน จะขอกราบไหว้พระอุบาลีก่อนทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเจ้านาย สิ่งที่เป็นเจ้านาย ในเมื่อมีธรรม คุณธรรมในหัวใจ มันมีการอ่อนน้อมถ่อมตน มันมีความรู้สึกว่าที่สูงที่ต่ำ มันเป็นธรรมไปทั้งหมด

แต่ถ้าคนมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นปลายอ้อปลายแขมมันก็อยากใหญ่ มันก็อยากจะขึ้นไปขี่หัวคน ขึ้นไปขี่หัวคนต้องการอำนาจ ต้องการความใหญ่ แล้วมีอำนาจแล้วก็เอาอำนาจนี้ทำลายคนอื่นไปทั้งหมดนะ ถ้ามันมีอำนาจเพราะอำนาจมันมาจากกิเลสไง อำนาจมันไม่มาโดยธรรมไง

ถ้าอำนาจมันมาโดยธรรมแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แบบพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ “อำนาจโดยธรรม” พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มีเดชมหาศาลเลย แต่เพราะมีอำนาจในธรรมจะไม่เคยเอาธรรมอันนี้ไปทำลายใคร ไม่เคยเอาธรรมนี้เบียดเบียนใคร จะมีแต่ส่งเสริม จะมีเศรษฐีกฎุมพีขนาดไหนที่เขาตระหนี่ถี่เหนียว

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรมาน ให้พระโมคคัลลานะไปทรมาน เอาธรรมนี้ไปทรมานเขา เอาธรรมนี้ไปเผยแผ่เขา เอาธรรมนี้ไปเจือจานเขา เขามีความตระหนี่ถี่เหนียวนี่เอาธรรมนี้แสดงออกไปเพื่อให้เขาเห็นสภาวธรรมอันนี้ขึ้นมาไง นี่อำนาจโดยธรรม กับอำนาจโดยกิเลส ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันอยากมีอำนาจ มันก็ใช้อำนาจเบียดเบียนคนอื่น สิ่งที่ทำลายคนอื่น สิ่งที่ทำลายคนอื่นทำลาย ทั้งๆ ที่มันเผาใจตัวเองนะ

ก่อนจะคิดทำอะไร มันเผาเราก่อนแล้ว มันเผาใจ แต่มันไม่เห็น มันไม่รู้จักว่านี้คือการทำลาย มันกับเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นว่าสิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์เพราะอยากมีอำนาจไง อยากมีอำนาจแต่มีกิเลส มันถึงเป็นโทษไปทั้งหมดเลย

แต่ถ้ามีอำนาจโดยธรรม เราถึงต้องพยามประพฤติปฏิบัติธรรมให้เป็นพระกรรมฐาน เราจะเป็นพระกรรมฐาน เราต้องเป็นพระกรรมฐานอย่างน้อยก็แบบพระฉันนะ พระฉันนะแม้แต่ว่าออกมายึดมั่นกิเลสของตัวเอง เบียดเบียนสงฆ์ไปทั้งหมด ทำลายหมู่สงฆ์ไปทั้งหมด แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็น เห็นอยู่ว่าถึงที่สุดแล้วพระฉันนะนี้ก็จะมีคุณประโยชน์เหมือนกัน ถึงได้บอกพระอานนท์ไว้ให้ลงพรหมทัณฑ์ไง กันออกไป กันออกไปจากหมู่สงฆ์ ในเมื่อกันออกไปจากหมู่สงฆ์แล้ว ออกไปประพฤติปฏิบัติในป่า เพราะอะไร

เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยากขี่หัวพระ มันก็ต้องอยู่ทำลายพระอยู่อย่างนั้น เวลากันออกไป เพราะเขามีกรงขังไง ขังด้วยธรรมวินัย วินัย พอลงพรหมทัณฑ์แล้วขังพระฉันนะออกไป เข้าไปอยู่ในป่าคนเดียวก็ไปประพฤติปฏิบัติ เพราะไม่มีใครแล้วก็ต้องประพฤติปฏิบัติ พยายามประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุด จึงถึงสิ้นกิเลสได้

อย่างน้อยก็ให้ได้เหมือนพระฉันนะ เพราะพระฉันนะก็ยังทำใจของตัวให้สิ้นจากกิเลสได้ ในเมื่อเป็นพระกรรมฐาน ถึงจะมีความคิดผิดมา แต่ก็ต้องทำลายกิเลสออกไปจากหัวใจ เพราะกิเลสมันเผาลนมา แต่ถ้าเราคิดผิดมา แล้วเราไม่กลับใจ ไม่เหมือนพระฉันนะ มันก็จะเผาออกไป เผาลนกันไป แม้แต่พระเทวทัตประพฤติปฏิบัติมา เข้าถึงฐานแต่ไม่สามารถทำลาย เพราะเป็นถึงฐานสมถกรรมฐาน ไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน นี่คิดทำร้าย ทำร้ายมาก ทำร้ายจนถึงกับว่าเป็นอนันตริยกรรม เพราะทำร้ายองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต ตกนรกอเวจีไป

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังพยากรณ์ไว้ในพระไตรปิฎกว่า พระเทวทัตถ้าพ้นจากนรกอเวจีมาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะทำถึงฐานตัวนี้ไง เพราะทำถึงฐานของใจเป็นสมถกรรมฐาน ถึงเหาะเหินเดินฟ้าได้ เพราะสิ่งนี้มันสะสมลงที่ใจ

เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราเป็นพระกรรมฐาน เรามีโอกาสของเราแล้ว โอกาสของเราคือฐานที่ใจ ถ้าทำฐานที่ใจ ฐานนี้มันรุนแรง มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันออกไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องพยายามใช้วินัยเข้ามาควบคุมมัน ถ้าเราใช้วินัย วินัยควบคุม ควบคุมใจของตัว

แล้วถ้าเราจะปฏิบัติธรรมขึ้นมา ธรรมคือสัมมาสมาธิ ถ้าเราทำจิตสงบของเราขึ้นมา มันเห็นความสงบอย่างนี้ ถ้าจิตของเราเคยสงบมา เห็นการประพฤติปฏิบัติทำจิตสงบนี้มันลำบากลำบนขนาดไหน มันต้องตั้งสติขนาดไหน มันต้องทำความสงบของใจขนาดไหน แล้วมันจะทำลายคนอื่นไม่ได้หรอกเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ มันต้องอาศัยหมู่คณะ อาศัยความที่ไม่กระทบกระทั่งกัน

สิ่งที่กระทบกระเทือนใจกันแล้วจิตนี้มันก็มีแต่ความเร่าร้อน แล้วมันจะเกิดความสงบขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความเปิดโอกาสให้แก่กัน เราจะพูดแต่คำสิ่งที่ว่าจากใจ ใจเขาใจเรา เราไม่ชอบสิ่งใดเขาก็ไม่ชอบสิ่งเหมือนเราที่เราชอบหรอก เราไม่ควรพูดสิ่งใดที่สะเทือนใจคนอื่น เพราะสิ่งที่สะเทือนใจแล้วมันก็ไปสะเทือนสิ่งที่จะเป็นสัมมาสมาธิ เราเคยทำสมาธิได้แล้วเราจะไม่ทำให้คนอื่นเสียโอกาสจากการทำสมาธิหรอก ถ้าเรารู้จักว่าสิ่งใดมันเป็นภัย สิ่งใดมันเป็นการขัดขวาง สิ่งใดเป็นการทำลายสมาธิ เราก็จะไม่ทำสิ่งนั้นเพื่อจะให้เขาเข้าถึงกรรมฐาน

“พระกรรมฐาน” เราเป็นพระกรรมฐาน แล้วหมู่คณะก็เป็นพระกรรมฐาน เราก็ต้องเปิดโอกาสให้กับคนอื่นที่จะประพฤติปฏิบัติให้ถึงพระกรรมฐาน ถ้าเราถึงกรรมฐานแล้ว ฐานของสมถกรรมฐานแล้วยกวิปัสสนากรรมฐานอีกนะ ยกขึ้นวิปัสสนากรรมฐานเพราะเราเป็นเวไนยสัตว์ เวไนยสัตว์มรรค ๔ ผล ๔ ต้องพยายามค้นคว้าหากิเลสของเรา

ถ้าเป็นขิปปาภิญญาเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติถึงที่สุดนั่งปั๊บ พรึบ!กิเลสจะขาดไปจากใจ แต่เราเป็นเวไนยสัตว์ สิ่งที่ว่าเรายังมีโอกาส เรามีอำนาจวาสนาเพราะเราเป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่ง เราบวชมาในพุทธศาสนา แล้วบวชมาระหว่างที่ว่ามีองค์มีหลวงปู่มั่นวางธรรมไว้ให้พวกเราก้าวเดิน ถ้าพวกเราก้าวเดินตามธรรมของหลวงปู่มั่น มรรค ๔ ผล ๔ จะเกิดขึ้นมา เรายกขึ้นวิปัสสนา ทำใจของเราให้สงบให้ได้

จิตมันจะสงบขึ้นมาได้เพราะหัวใจเราต้องควรแก่การงาน ควรแก่การงานในการกำหนดพุทโธ พุทโธ ถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธ จิตใจเราเกาะเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเมตตามหาศาล ปัญญาคุณมหาศาล วางไว้ให้เราก้าวเดิน เราเป็นคนที่มันเหมือนปลวกเหมือนมอดที่ไม่มีอำนาจวาสนาขนาดนั้น เราก็เอาใจของเราเกาะเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธ พุทโธ ไว้ มันจะสร้างจากปลวกจากมอดให้เป็นคนขึ้นมา ให้เป็นจิตที่มีฐานขึ้นมา ให้เป็นพระองค์หนึ่งขึ้นมา ให้เป็นพระกรรมฐานสมองค์ขึ้นมา

ถ้าพระกรรมฐานทรงสมาธิ ทรงธรรมทรงวินัย ทรงสมาธิจิตสงบขึ้นมานี่จะสงวนรักษาหมู่คณะ เพราะหมู่คณะประพฤติปฏิบัติอย่างนี้มันก็แสนยาก เราถึงต้องเปิดโอกาสให้หมู่คณะได้ทำสิ่งนี้ขึ้นมา ถ้าสิ่งนี้ขึ้นมา นี่พระกรรมฐานจากใจมีเครื่องอาศัย ยกขึ้นวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม นี้เพราะกิเลสมันอาศัยสิ่งนี้ มันครองสิ่งนี้อยู่

พญามารมีอำนาจต่อสิ่งนี้มาก ทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติเข้าใจว่าต้องไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ออกไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นธรรมเป็นวินัยไง แล้วสิ่งนั้นไม่มีเลยในโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องกลับมา กลับมา สยัมภู ตรัสรู้ด้วยตนเองเข้ามาถึงฐานของใจ

กิเลสตัณหาในหัวใจมันจะทำสิ่งนี้ขับให้ไสออกไป ถ้าเรายกขึ้นวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ธรรมคือธรรมารมณ์ ธรรมของผู้มีกิเลส มันเป็นธรรม “ธรรมารมณ์” อารมณ์ที่เป็นธรรม แต่มันเป็นกิเลสอยู่มันก็บิดเบือนให้เราเกาะเกี่ยวไปอย่างนั้น ถ้าเราพิจารณาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ธรรมารมณ์อารมณ์ความรู้สึกพิจารณากายโดยธรรม มันจะไม่เห็นกาย พิจารณากายโดยกายจะเห็นกาย โดยจิตนี้เป็นสมาธิจะเห็นกายขึ้นมา วิปัสสนากายเห็นกายขึ้นมาทำลายกาย ให้กายนี้เป็นสภาวะไป นี่มันจะเป็นประสบการณ์ของใจดวงนั้น

พระกรรมฐานอยู่ตรงนี้ ถ้าพระกรรมฐานรู้จักวิธีการว่า การวิปัสสนากายเห็นสภาวะกายอย่างไร ถ้าจิตไม่เป็นสัมมาสมาธิ จิตไม่ตั้งมั่น มันยกขึ้นมาเห็นกายอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าจิตนี้ตั้งมั่น ยกกายขึ้นมาให้จิตนี้เห็นกายเป็นภาพขึ้นมาอย่างนั้น แล้วมันวิปัสสนาให้มันพุพองไป ให้มันเปื่อยเน่าไป ให้มันแปรสภาพไป เห็นไหม “กรรมฐาน” วิปัสสนากรรมฐานมันเป็นอย่างนี้ พระกรรมฐานจะเห็นสภาวะแบบนี้ พิจารณากายเห็นกายโดยความเป็นจริง เห็นกายแปรสภาพไปตามจริง

พิจารณาเวทนา จิตนี้สงบเข้ามา จิตนี้มีฐานขึ้นมา จับเวทนาได้ จิตนี้ไม่สงบเข้ามา จิตนี้ไม่มีฐานเข้ามา เวทนาเกิดขึ้นจะล้ม ล้มหัวใจนี่ไม่เป็นสมาธิเลย จิตนี้ตั้งเป็นสมาธิได้พอเวทนาเกิดขึ้น มันมีกำลังขึ้นมาจะจับเวทนา

สิ่งใดเป็นเวทนา เวทนาเกิดขึ้นมาอย่างไร? เวทนาก็เหมือนขันธ์อันหนึ่ง เวทนาก็เกิดขึ้นมาหนึ่ง เวทนาของกาย สภาวะกายอย่างไรเป็นเวทนา เข่าเป็นเวทนาได้หรือ กระดูกเป็นเวทนาได้หรือ เนื้อเป็นเวทนาได้หรือ เอ็นเป็นเวทนาได้หรือ?

ไม่มีอะไรเป็นเวทนาได้เลย นี่จิตไปยึด จิตหลงอุปาทานเป็นเวทนา จิตเศร้าหมอง จิตผ่องใส จิตเป็นทุกข์ จิตเป็นเวทนาหรือ? สิ่งที่เป็นเวทนานี้มันเกิดดับ มันก็ไม่ใช่เวทนา เวทนาจิตนี้ไปเกาะเกี่ยวกับเวทนา วิปัสสนาเวทนาเห็นเวทนาไปตามความเป็นจริง ปล่อยเวทนา วิปัสสนาไป นี้คือพระกรรมฐาน

วิปัสสนาจิต จิตเศร้าหมอง จิตผ่องใส จิตเดี๋ยวเป็นสมาธิ จิตเดี๋ยวเศร้าหมอง เดี๋ยวเกาะเกี่ยว ความเห็นสภาวะจิต ดูจิต พิจารณาจิตเข้าไป เห็นความเป็นไปของจิต จนปล่อยวางจิต เข้าใจจิต นี้คือพระกรรมฐาน

พิจารณาธรรมารมณ์ อารมณ์เกิดขึ้นต้องอาศัยกายกับจิต เห็นไหม ถ้ามีกาย กายกระทบหนาวกระทบร้อนมันก็ไม่พอใจ นี้ก็เป็นอารมณ์ เวลาจิตความคิดขึ้นมา มันก็เป็นอารมณ์ ธรรมารมณ์ อารมณ์ของใจ พิจารณากายโดยธรรมารมณ์ พิจารณาอย่างนี้ไง เห็นสภาวะความเป็นจริงอย่างนี้ เห็นคุณค่าว่าเป็นอย่างนี้ ถ้ากำลังมันพอมันก็ปล่อย ปล่อยคือความรู้สึกมันปล่อยไง ปล่อยความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยความเป็นไปของความรู้สึก ปล่อยความเป็นไปต่างๆ มันปล่อย มันปล่อยอันหนึ่ง มันก็เป็นความว่างอันหนึ่ง ความรู้สึกว่าว่างมันว่างจากสัมภาระ ไม่ใช่ว่างแบบสัมมาสมาธินะ

สัมมาสมาธิโดยปัญญาอบรมสมาธิ มันคิดถึงเรื่องขันธ์ ๕ เข้ามา มันปล่อยเข้ามา ปล่อยอารมณ์ ปล่อยความรู้สึกนี้เข้ามา สิ่งนี้เป็นอาการของใจ อาการของใจไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด มันจะยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น ยึดมั่นก็เป็นอารมณ์ ความรู้สึกมันก็สุขก็ทุกข์ตลอดไป

แต่ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามาพิจารณาอารมณ์ความรู้สึกอย่างนั้น มันปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา มันปล่อยวางสิ่งที่เป็นอาการของใจ มันก็เป็นตัวใจ มันเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิคือยกขึ้นมาพิจารณาธรรมารมณ์ อารมณ์ที่ไปเกาะเกี่ยว เกาะเกี่ยวสิ่งนี้มันไม่ใช่สัญญาอารมณ์จากภายนอก มันเป็นอารมณ์เกิดขึ้นจากภายในที่ตกกระทบกับธรรม ถึงบอก ธรรมารมณ์ไง

ปัญญาอบรมสมาธิมันปล่อยจากความยึดมั่นถือมั่นของกิเลสอันหนึ่ง กิเลสถึงเป็นสมถกรรมฐาน แต่เวลาวิปัสสนาขึ้นมามันเป็นวิปัสสนากรรมฐาน มันเป็นธรรมารมณ์ เป็นธรรมเพราะว่าจิตนี้มันปล่อยจากรูป รส กลิ่น เสียง ปล่อยจากปุถุชนเข้ามาเป็นกัลยาณปุถุชน ทีนี้พอพิจารณากัลยาณปุถุชนยกขึ้นวิปัสสนาขึ้นมา นี้เป็นวิปัสสนาไง สิ่งที่วิปัสสนานี่มันปล่อยวางอย่างนี้ มันถึงไม่ใช่ปล่อยวางเป็นสัมมาสมาธิเข้ามา มันปล่อยวางจากกิเลสไง ถ้ามันปล่อยวางจากกิเลส ปัญญา มรรคมันเกิดอย่างนี้ไง

สิ่งที่เป็นมรรค พระกรรมฐานรู้จักวิปัสสนากรรมฐานเพราะมันเป็นมรรค มรรคอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระสยัมภูตรัสรู้ด้วยตนเอง แล้วก็มายกย้อนกลับเข้ามาทำมรรคญาณเกิดขึ้นมาสิ่งนี้ มรรคญาณเกิดเป็นสิ่งนี้ถึงจะเข้ามา ย้อนกลับมา เป็นวิปัสสนากรรมฐานสิ่งนี้ นี้คือพระกรรมฐานไง สิ่งที่เป็นพระกรรมฐานแท้จะเห็นความเป็นว่า จิต สมถกรรมฐานเป็นความสงบของใจอันหนึ่ง

วิปัสสนากรรมฐานในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม สิ่งนี้เป็นจริตนิสัยกว้างออกไปจากสัตว์ จากสัตตะ สัตตะคือสัตว์ผู้ข้องอยู่ในวัฏฏะนี้ แล้วเราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง เราเป็นสัตว์ตัวหนึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐ ประเสริฐมาก มีจิตศรัทธาในศาสนาพุทธขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แล้วออกบวชประพฤติปฏิบัติโดยอุปัชฌาย์อาจารย์บอกว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นเป้าหมายให้เราประพฤติปฏิบัติ แล้วเราออกหาสถานที่ ออกหาเป็นวิเวก เป็นพระป่าสายหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นบอกว่าให้อยู่ป่า ครูบาอาจารย์พาอยู่ป่า พาอยู่ พาทำ หลวงปู่มั่นพาอยู่พาทำจนใจของหลวงปู่มั่นเป็นพระกรรมฐานแท้องค์หนึ่ง แล้วเราเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เรามีครูมีอาจารย์ ทำไมเราย่อหย่อน เราอ่อนแอ เราให้กิเลสตัณหามันกระทืบ มันยึดมันขย่มในหัวใจของเราได้อย่างไร ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขย่ม มันขี่คอหัวใจของเรา เราจะเป็นพระกรรมฐานแต่เปลือกไง นุ่งเหลืองห่มเหลือง ผ้าสีกรักเป็นผู้ที่ว่าเป็นกรรมฐาน โอ่อ่า โอ่อ่าองอาจ ไปอยู่ในกรรมฐาน แต่หัวใจมันเร่าร้อน ถ้าหัวใจเร่าร้อนเราจะไปกรรมฐานไปถึงไหน ในเมื่อจิตมันมีความเร่าร้อน ความเบียดเบียน มันเบียดเบียนใจเราก่อน ถ้าจิตมันเบียดเบียนเรานะ เราเป็นทุกข์ เราเป็นทุกข์ก่อน ถ้าเราเป็นทุกข์แล้วเราก็เบียดเบียนคนอื่น เราเอาความสกปรกโสมมของเราไปทำลายคนอื่น

แต่ถ้ามันมีธรรมในหัวใจนะ ถ้ามันจะทุกข์ร้อนของเรามันต้องเก็บความทุกข์ร้อนของเราในหัวใจนะ แล้วหมู่คณะเราก็จะช่วยเหลือกันนะ พาออกวิเวก พาออกหาสถานที่ที่มันสมควรแก่การงาน ถ้าจิตมันออกวิเวก ออกควรแก่การงาน มันจะทำให้จิตใจมันเปลี่ยนสถานะ เปลี่ยนสถานะเพราะมันติดอยู่ที่ไหนที่หนึ่ง มันจะเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น

กิเลสตัณหานี้มันมีความรุนแรงมาก มันจะพาให้จิตนี้ออกนอกลู่นอกทางตลอดไป เพราะมันเป็นเรื่องของมารไง ถ้าเป็นเรื่องของมารนะ พระองค์หนึ่งถึงบวชแล้วเป็นพระกรรมฐานก็แล้วแต่ มันก็ยังพาให้ล้มลุกคลุกคลาน พาให้สมบุกสมบันอยู่ในเพศของพระได้ ถึงที่สุดแล้วมันก็ทำให้เราหลุดออกจากเพศของพระไปได้ เพศของพระนะ เพศของพระเป็นเพศของนักรบ เราเป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่งโดยสมมุติสงฆ์ แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นพระกรรมฐานแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑

ในครั้งพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง เป็นครูเป็นอาจารย์อย่างมหาศาล อย่างประเสริฐที่สุด แล้วในปัจจุบันนี้มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านบุกเบิกมาเป็นแบบเป็นอย่าง เป็นแบบอย่างของเราที่ประเสริฐที่สุด แล้ววางไว้ เวลามันอ่อนแอมันท้อแท้นะ ดูประวัติหลวงปู่มั่นสิ ท่านทุกข์ขนาดไหน ท่านประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าในเขามา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ธรรมโอสถอย่างเดียว ธรรมโอสถ เข้าป่าเข้าเขานี้เอาธรรมรักษาใจมาตลอด ถ้าใจมันพ้นจากป่วย ร่างกายมันก็พ้นด้วย เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายเราก็ป่วย หัวใจเราก็ป่วย เพราะเราวิตกวิจารณ์ เราทุกข์ร้อนไปไง ถ้าเวลาร่างกายมันป่วยให้มันป่วยคนเดียว อย่าให้หัวใจเราป่วยด้วย หัวใจเรามีความองอาจกล้าหาญ แล้ววิปัสสนาเข้ามา ถ้าวิปัสสนาเข้ามาเวลาธรรมมันเข้ามาถึงที่สุด มันปล่อยวางสิ่งนี้ได้

เวลาทุกข์เวลาร้อน หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าก็ใช้ธรรมโอสถมาตลอด แล้วก็ใช้ธรรมะเข้าไปชำระจิตใจ ชำระจิตใจจนเป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์แบบ แล้ววางแบบอย่างไว้ให้เราเป็น ๑ แล้วเป็นตัวอย่างให้เราได้เป็นยึดมั่นถือมั่นอีก ๑ ทำไมเราอ่อนแอ ทำไมเราล้มลุกคลุกคลาน ทำไมเราไม่เอาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง ทำไมไปไพล่ไปเอากิเลสเป็นที่พึ่งล่ะ กิเลสในหัวใจมันพึ่งไม่ได้ กิเลสในหัวใจเราจะกำจัดมัน เราจะทำลายมัน แต่ในเมื่อเราจะกำจัดมัน เราจะทำลายมัน เราต้องมีสติของเราไง เราต้องยับยั้งมันก่อน เราต้องทำสัมมาสมาธิก่อน แล้วเราจะฆ่ามัน ถ้าเราไม่ทำสัมมาสมาธินะ เราจะฆ่ากิเลสแล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติไป กิเลสมันจะอาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องมือของมัน แล้วออกทำลายนะ

ในวงปฏิบัติ เวลาปฏิบัติ เอากิเลสออกปฏิบัติ จะต้องเป็นอย่างนั้น จะสร้างสมการต่างๆ สร้างวิธีการ สร้างสิ่งต่างๆ เพราะกิเลสมันพลิกแพลง มันต้องการความสะดวก มันต้องการความสบาย มันต้องการสิ่งที่มักง่าย นี่สิ่งนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด แล้วมันก็ปฏิบัติอย่างนั้น สิ่งที่ปฏิบัติอย่างนั้นมันเป็นสัญญาอารมณ์ มันก็ปล่อยวางสิ่งนั้นได้ แล้วจะเอาสิ่งนี้เป็นแบบอย่างได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นกิเลสพาใช้ ในการประพฤติปฏิบัติก็ประพฤติปฏิบัติโดยกิเลสออกนำหน้า แล้วก็ออกมาเป็นนึกคิด เป็นความเห็นที่ขัดแย้ง

แต่ถ้าเป็นองค์หลวงปู่มั่นบอกว่า ทองคำแท้กับทองคำที่อยู่ในเหมือง ต้องประพฤติปฏิบัติให้ใจเป็นทองคำ ให้เป็นพระกรรมฐานขึ้นมาก่อน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับทองคำ พวกตู้พระไตรปิฎกทองคำล้วนๆ เลยเพราะออกมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความคิดความเห็นของเรา กิเลส มันก็เจือไปด้วยดิน เพราะทองคำมันอยู่ในเหมือง ทั้งๆ ที่อ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ประพฤติปฏิบัติว่านี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่กิเลสมันเต็มหัวใจ แล้วมันก็พาสิ่งนี้ย่ำยีทำลายไปในหมู่คณะทั้งหมดเลย

ประพฤติปฏิบัติถึงต้องพยายามอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วเอาพุทโธ เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง แล้วทำความสงบของใจเข้ามาให้จิตมันสงบเข้ามา พอจิตมันสงบเข้ามา มันก็มีหลักมีเกณฑ์ ถ้าจิตสงบเข้ามามีหลักมีเกณฑ์ยกวิปัสสนาให้ได้ ถ้าฆ่ากิเลสของเราได้โดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะปัจจุบันนี้กึ่งพุทธกาลศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ให้เราก้าวเดินตาม ถ้าเราประพฤติปฏิบัติในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นธรรม เราไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราจะไปเลียนแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก ขอให้ทำให้ได้เถอะ ถ้าทำได้มันจะเป็นความจริงขึ้นมาจากใจ พอมันเป็นความจริงขึ้นมาจากใจ พอใจเป็นธรรมขึ้นมา ถ้ารามีอำนาจวาสนา เราจะเห็นสิ่งที่แตกแขนงไปเหมือนกับในป่า ใบไม้เต็มป่า เป็นแดนป่าเต็มไปหมดเลย เราจะเห็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าเราเป็นคนที่มีอำนาจวาสนาพอประมาณ เราก็จะเห็นตามนั้น เห็นตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้นำไว้ แล้วเราก็จะเห็นตามอย่างนั้น แต่มันมีความสุข ความสุขเพราะใจเป็นธรรม

เราเป็นพระกรรมฐาน ถ้าใจเราถึงที่สุด เห็นไหม สมถกรรมฐานทำใจนี้ให้สงบเข้ามา แล้วเราเป็นพระกรรมฐานโดยวิปัสสนากรรมฐาน ชำระกิเลสออกไปจากใจ ถ้าชำระกิเลสออกไปจากใจเป็นชั้นเป็นตอน เราจะเป็นพระกรรมฐาน อยู่ในวงของพระกรรมฐานด้วยความร่มเย็นในหัวใจ แล้วศาสนาก็จะอาศัยพระกรรมฐานองค์นี้เป็นประโยชน์กับในศาสนา เพราะพระกรรมฐานองค์นี้ใจเป็นธรรมแล้วจะเชิดชูศาสนา เอาศาสนานี้เป็นประโยชน์

แต่ถ้าเราเป็นพระกรรมฐาน แต่ใจของเราเป็นกิเลสล้วนๆ มันก็จะทำลายวงกรรมฐาน ทำลายวงกรรมฐานให้วงกรรมฐานนี้เศร้าหมอง เศร้าหมองจากพระองค์นั้น เพราะประชาชนเขาไม่รู้ หรอกว่านี่ก็พระกรรมฐานเหมือนกัน พระเหมือนกัน บวชโดยสมมุติสงฆ์เหมือนกัน แล้วเวลากล่าวออกมาก็กล่าวออกมาโดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน แต่มันมีเล่ห์ในหัวใจไง ถ้าเล่ห์ในหัวใจมันก็มีเล่ห์เวลากล่าวธรรม แต่ดินที่ว่าทองคำในเหมืองที่มีดินปนกับทองคำนั้น เล่ห์เหลี่ยมสิ่งนั้นมันก็ต้องการสิ่งนั้น

พระกรรมฐานองค์หนึ่ง ทำใจของตัวให้เป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่ง เป็นประโยชน์กับศาสนามหาศาล พระกรรมฐานองค์หนึ่งทำใจของตัวอ้างเล่ห์ใจ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ แล้วประชาชนเขาจะรู้ได้อย่างไร แล้วการส่งเสริมศาสนา การส่งเสริมศาสนามันจะส่งเสริมศาสนาไปถึงไหนล่ะ ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ นี้ศาสนารุ่งเรืองแล้วมันเป็นเรื่องของวัฏฏะ เป็นเรื่องของคราวของโลกที่หมุนเวียนไป แต่ถ้าธรรมในหัวใจของเรารุ่งเรือง เราต้องทำใจของเราให้รุ่งเรือง มันจะเป็นความสุขนะ

สุขเกิดจากสัมมาสมาธิมีความสุขมาก เพราะมันร่มเย็นเป็นสุข มันพออยู่พอกินไง พระเราถ้ามีสมาธิในหัวใจนี่พออยู่พอกิน แล้วถ้ายกขึ้นวิปัสสนาได้นะ ชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปได้นะ ความสุขมันจะละเอียดเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนนะ เวลาปล่อยกิเลสชั้นหนึ่ง มันจะมีความสุขมาก ความสุขแบบกิเลสมันคายตัวออกไปแล้วเป็นอกุปปธรรม สิ่งนี้เป็นอฐานะที่มันจะเสื่อมสภาพ สิ่งนี้ไม่มีความแปรปรวนแน่นอน

แต่สิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งที่เหนือกว่า เราก็พยายามยกขึ้นวิปัสสนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่ความสุขที่ละเอียดขึ้นไป มันจะต่างขึ้นไป แล้วก็จะเป็นอกุปปธรรมขึ้นไป อฐานะที่จะถอยกลับลงมาให้เป็นความสุขแบบชั้นล่าง แล้วก็ยกขึ้นไป มรรค ๔ ผล ๔ ความสุขจะละเอียดอ่อนขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนจนถึงวิมุตติสุข ความสุขอันนี้เสมอกัน

พระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลกับพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันนี้ ตั้งแต่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงกับใจของครูบาอาจารย์ของหลวงปู่มั่นมา เสมอกันโดยความสะอาด โดยความบริสุทธิ์ โดยวิมุตติสุข แต่ต่างกันมหาศาลโดยอำนาจวาสนาบารมี สิ่งที่เป็นอำนาจวาสนาบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นเจ้าของเป็นพระสยัมภู เป็นตรัสรู้ด้วยไม่มีครูบาอาจารย์ แต่องค์หลวงปู่มั่นเราก็ตรัสรู้แต่มีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์โดยธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ไง นี่วิมุตติสุขเสมอกัน

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ เราก็เข้าถึงวิมุตติสุขได้เหมือนกัน เพราะเรามีหัวใจไง เรามีภาชนะที่จะเข้าไปถึงธรรมอันนี้ เราถึงจะเป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์ไง โอกาสเรามหาศาลมากนะ เราเป็นคนที่มีโอกาส มีวาสนามาก เพราะเราศรัทธาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ แล้วเราได้ออกบวช ๑ แล้วได้ออกประพฤติปฏิบัติเป็นพระป่าอยู่ในวัดป่า ๑

ดูสังคมโลกสิ ชีวิตที่เขาเกิดมามันกี่พันล้านคน เขาอยู่ของโลกเขา โอกาสเขาจะมีเหมือนเราไหม แล้วเขาก็ไม่รู้ของเขาเพราะใจเขามืดบอด ก็เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ เขาทำสิ่งอย่างนั้นเขาจะเป็นประโยชน์กับโลก นักวิทยาศาสตร์เขาพยายามประโยชน์กับโลกมหาศาลเลย เขาคิดเขาวิจัยสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์กับโลก เพื่อความเจริญของโลก โลกก็เจริญอยู่ แต่ใจเขาเร่าร้อนทั้งหมดเลย แล้วสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์วิจัยสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มากขึ้นมาๆ สิ่งที่วิเคราะห์วิจัยไว้มันก็เป็นสิ่งที่ล้าสมัย ล้าสมัย มันเป็นของล้าหลังไปตลอดไป เพราะมีสิ่งใหม่ขึ้นมาตลอด

แต่เรามีโอกาส เราจะวิเคราะห์วิจัยของเราเรื่องร่างกายของเรา เรื่องกาย เรื่องเวทนา เรื่องจิต เรื่องธรรม แต่เราต้องมีเครื่องมือที่ใจที่บริสุทธิ์ก่อน เราถึงมีโอกาส เราถึงเป็นพระกรรมฐาน ถึงจะเป็นพระกรรมฐานโดยสมมุติสงฆ์ พระกรรมฐานนี้อุปัชฌาย์อาจารย์เป็นคนยกขึ้นมาในหมู่สงฆ์ เป็นจตุตถกรรมขึ้นมาในหมู่สงฆ์ นี้ก็ภูมิใจ เพราะเป็นโอกาสที่มหาศาล ต่างกับชีวิตที่เขาอยู่ในโลกเป็นล้านๆ เป็นพันๆ ล้านที่เขาไม่มีโอกาสเหมือนเรา

สิ่งนี้มีโอกาสมาก แล้วเราทำไมเรานอนใจ ทำไมเรามาเสียใจ ทำไมเราไม่มีกำลังใจ ทำไมเราไม่มีความฮึกเหิม ทำไมเราไม่มีความจงใจในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีความฮึกเหิม เรามีความจงใจ มีการประพฤติปฏิบัติ มีความปรารถนา มีเป้าหมาย เห็นไหม อธิษฐานบารมี ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องมีเป้าหมายว่าเราต้องถึงที่สุดแห่งทุกข์

ถ้าเราถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันจะเป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์ไง ถ้าเราเป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์ ความสุขอันนี้ไม่ต้องถามใคร ความสุขอันนี้มันเกิดขึ้นมาจากใจ ในเมื่อใจเราเป็นความสุข เราเป็นคนกินอาหาร แล้วอาหารเราเต็มท้อง เราอิ่มหนำสำราญในหัวใจในท้องของเรา เราจะไปถามใคร

ในเมื่อจิตของเราถึงวิมุตติสุขเป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์ เราจะต้องไปถามใคร เราจะไปถามใครได้ เพราะถึงถามเขา เขาก็ไม่รู้เหมือนเรา ถ้าใจของเราเป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์นะ มีครูบาอาจารย์เท่านั้นที่จะรู้เรื่องใจของเรา แล้วจะสื่อความหมายกันเข้าใจ

แต่ถ้าใจของเราเป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์โดยสมมุติสุข ไปพูดให้ใครฟังเขาก็ไม่รู้หรอก เป็นไปไม่ได้เพราะในโลกนี้เขาไม่เคยเห็นภาวนามยปัญญา ปัญญาของโลกเขาเป็นสุตมยปัญญานี้เป็นเรื่องของโลกที่เขาศึกษาเล่าเรียนกัน จินตมยปัญญา คือนักวิทยาศาสตร์ที่เขาค้นคว้าวิจัยกันนั้นเป็นคุณสมบัติของเขา นั่นเป็นจินตมยปัญญา

แล้วภาวนามยปัญญา สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์ในศาสนาพุทธเรา ในมรรค “สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ในศาสนาไหนไม่มีมรรค...” คือมรรค ๘ มรรค ๘ ที่มันรวมตัวกันเป็นภาวนามยปัญญา เป็นภาวนามยปัญญาอันนี้ มันไม่มีใครเคยเห็น ฉะนั้น ครูบาอาจารย์เราเท่านั้นถึงเห็น ถ้าจิตใจดวงนี้ถึงวิมุตติสุขแล้วจะเอาสิ่งนี้ไปคุยให้เขาฟัง หรืออธิบายให้เขาฟัง จะไม่มีใครรู้กับเรา เราเท่านั้นรู้เรื่องใจของเรา

ฉะนั้นเราถึงว่า ถ้าเราเป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์ ความสุขจะสมบูรณ์ในใจของเรา เป็นพระกรรมฐานโดยสมบูรณ์กับใจดวงนี้ ใจดวงนี้เป็นพระกรรมฐานเพราะมันถึงวิมุตติสุข เอวัง